แรงไม่หยุด! ส่งออก ก.พ.พุ่ง 14% กลับมาเกินดุล ทั้งปีมีลุ้นโตทะลุเป้า 3%

24 มีนาคม 2568
แรงไม่หยุด! ส่งออก ก.พ.พุ่ง 14% กลับมาเกินดุล ทั้งปีมีลุ้นโตทะลุเป้า 3%
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย เดือนก.พ.68 พบว่า การส่งออกมีมูลค่า 26,707 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 14% โดยเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และขยายตัวในระดับ 2 digit ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จากม.ค.68 ที่ขยายตัวได้ 13.6% ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 24,718 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 4% ส่งผลให้เดือนนี้ไทยกลับมาเกินดุลการค้า อยู่ที่ 1,988 ล้านดอลลาร์
“เราพอใจมาก ที่การส่งออกโตได้ 14% หลังจากเดือนม.ค. โตได้ 13.6% เราเชื่อว่าการส่งออกจะยังเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้ได้ คาดว่าเดือนมี.ค.ก็จะยังเติบโตได้อีก ทิศทางยังดี” นายพิชัย ระบุ

สำหรับในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.พ.68) การส่งออกมีมูลค่ารวม 51,984 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 13.8% การนำเข้า มีมูลค่ารวม 51,876 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 6% ส่งผลให้ 2 เดือนแรกของปีนี้ ไทยเกินดุลการค้า 108 ล้านดอลลาร์

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ ตั้งเป้าหมายมูลค่าการส่งออกสำหรับปี 2568 ว่าจะขยายตัวได้ 2-3% อย่างไรก็ดี จากมูลค่าการส่งออกเฉลี่ย 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ.) ที่ขยายตัวได้ถึง 13.8% นั้น ก็มีความเป็นไปได้ที่ทั้งปีนี้ การส่งออกของไทย จะขยายตัวได้เกินเป้าหมาย 3% ที่ตั้งไว้

รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า จากนโยบายของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการเห็นเศรษฐกิจไทยปีนี้ ขยายตัวได้เกินกว่า 3% นั้น การส่งออกทั้งปีจะต้องขยายตัวได้มากกว่า 3.5% ซึ่ง 2 เดือนแรกเฉลี่ยโตได้แล้ว 13.8% จึงมั่นใจว่าการส่งออกจะเป็นเครื่องยนต์สำคัญที่ช่วยในการขยายตัวให้แก่เศรษฐกิจไทยปีนี้

พร้อมมองแนวโน้มการส่งออกในช่วงหลังจากนี้ว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากปีก่อนมีการลงทุนในประเทศถึง 1.4 ล้านล้าน หลายโรงงานเริ่มก่อตั้งแล้วเสร็จ ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกได้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประเภทแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ซึ่งขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอค่อนข้างมาก ขณะที่มีขอมูลจากบีโอไอว่า ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ สูงกว่าช่วง 2 เดือนแรกของปีก่อนเช่นกัน
“เครื่องยนต์เศรษฐกิจของประเทศไทยเดินแล้ว ส่งออกขยายตัวได้น่าพอใจมาก 2 เดือนแรก การลงทุน 2 เดือนแรกปีนี้ ก็มากกว่า 2 เดือนแรกปีที่แล้ว และแนวโน้มก็น่าจะมากกว่าปีก่อน ขณะเดียวกันการท่องเที่ยวปีก่อน ได้ 36 ล้านคน ปีนี้คาดว่าจะได้ 39-40 ล้านคน จะเห็นว่าเครื่องยนต์ที่สำคัญทางเศรษฐกิจของไทยขยายตัวทุกอันแล้ว” รมว.พาณิชย์ กล่าว
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ยังเป็นปัญหาสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย คือ ปัญหาหนี้ ซึ่งขอสนับสนุนการแก้ปัญหาหนี้ เพราะหากสามารถแก้ไขได้สำเร็จ เศรษฐกิจไทยจะเติบโตอย่างแข็งแรง และมีเสถียรภาพ และมีโอกาสจะเห็นเศรษฐกิจไทยโตได้ในระดับ 5-6%
“ตอนนี้ เราขาดเรื่อง consumption ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ หนี้ที่เยอะมาก ทำให้ประชาชนไม่มีพลังในการใช้จ่าย” รมว.พาณิชย์ กล่าว
พร้อมระบุว่า ตั้งแต่น.ส.แพทองธาร เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศ ทำให้เกิดความมั่นใจจากต่างประเทศ การค้า การลงทุนที่หลั่งไหลเข้ามา การเจรจา FTA ที่ทยอยเดินหน้า ก็จะทำให้การส่งออกขยายตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมาก และเชื่อว่าในระยะถัดไปการส่งออกของไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี
“การลงทุนกับการส่งออก มีความสัมพันธ์กัน พอลงทุนเพิ่มขึ้น เราก็สามารถส่งออกสินค้าได้มากขึ้น การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจมันหมุนไปแล้ว อยากเห็นการแก้ปัญหาหนี้ ซึ่งต้องดูรูปแบบที่มีหลายรูปแบบ เราถามความเห็นไปทางสภาหอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ ด้วยแล้ว ให้เสนอรูปแบบในการแก้หนี้ต่าง ๆ เข้ามาว่าจะต้องทำอย่างไร” นายพิชัย กล่าว

ด้านนายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า การส่งออกสินค้าในเดือนก.พ.68 หากแยกเป็นรายกลุ่มสินค้า จะพบว่า

– สินค้าเกษตร หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 มีมูลค่า 2,013.2 ล้านดอลลาร์ ลดลง 1.6% โดยสินค้าเกษตรที่ยังขยายตัวได้ดี ได้แก่ ยางพารา, ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป และผลไม้สด

– สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 มีมูลค่า 2,035 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 9.9% โดยสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ที่ขยายตัวดี ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลี และอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ, น้ำตาลทราย, ผลไม้กระป๋องและแปรรูป, และอาหารสัตว์เลี้ยง

– สินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 มีมูลค่า 21,979.1 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 17.2% โดยสินค้าอุตสาหกรรมที่ขยายตัวดี ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำไม่ขึ้นรูป), เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, เครื่องปรับอากาศ และส่วนประกอบ, เครื่องจักรกล และส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์ยาง และรถยนต์ และส่วนประกอบ

สำหรับตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยในเดือน ก.พ.68 ที่มีมูลค่าสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 สวิตเซอร์แลนด์ ขยายตัว 235.7% อันดับ 2 เอเชียใต้ ขยายตัว 129.5% อันดับ 3 กลุ่ม CIS ขยายตัว 30.2% อันดับ 4 ไต้หวัน ขยายตัว 28.1% อันดับ 5 แคนาดา ขยายตัว 26.1% อันดับ 6 จีน ขยายตัว 22.4% อันดับ 7 สหรัฐฯ ขยายตัว 18.3% อันดับ 8 ลาตินอเมริกา ขยายตัว 17.9% อันดับ 9 แอฟริกา ขยายตัว 6.8% และอันดับ 10 ตะวันออกกลาง ขยายตัว 6.7%

*คาด Q1/68 โตเป็นตัวเลขสองหลัก ทั้งปีมีลุ้นโตทะลุเป้า 3%

ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวว่า จากแนวโน้มการส่งออกของไทยในช่วง 2 เดือนแรก ที่ขยายตัวเฉลี่ยได้แล้ว 13.8% นั้น มีความเป็นไปได้ที่ทั้งปี 2568 จะขยายตัวได้สูงกว่า 3% จากเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ที่ตั้งไว้ 2-3% ซึ่งหากโตสูงกว่า 3% การส่งออกในแต่ละเดือนจะต้องอยู่ในระดับ 26,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งปีราว 309,546 ล้านดอลลาร์ ขณะที่เชื่อว่าการส่งออกไตรมาส 1 ปีนี้ จะขยายตัวได้ในระดับ 2 digit หรือราว 10%

พร้อมกันนี้ คาดว่าสินค้าเกษตรจะกลับมาขยายตัวได้ดี และเริ่มเป็นบวกตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มผลไม้ เนื่องจากเป็นฤดูการผลิตของผลไม้ภาคตะวันออก ซึ่งคาดว่าปีนี้ปริมาณผลผลิตจะสูงกว่าปีก่อน จึงน่าจะมีผลทำให้การส่งออกในภาพรวมยังขยายตัวได้ดี

สำหรับปัจจัยที่เชื่อว่าการส่งออกปีนี้ จะโตได้เกินกว่า 3% มาจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยเริ่มขยายตัว ทั้งจีน สหภาพยุโรป เอเชียใต้ แอฟริกา ลาตินอเมริกา และตะวันออกกลาง
“ปีที่แล้ว (2567) มูลค่าการส่งออกโดยรวมของไทย ก็ทำได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ปีนี้ก็มีโอกาสที่จะเป็น new high ได้” นายพูนพงษ์ ระบุ

อย่างไรก็ดี สำหรับการเตรียมไปเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ หลังจากที่ไทยเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายที่จะถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการกำแพงภาษี อันเนื่องจากไทยเกินดุลการค้าสหรัฐฯ ในระดับสูงนั้น ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้มีการหารือกับภาคเอกชนแล้ว เพื่อเตรียมท่าทีที่จะไปหารือกับ USTR (United States Trade Representative) ของสหรัฐฯ โดยการเจรจาจะเป็นทั้งด้านการค้า การลงทุน และความมั่นคง รวมเป็นแพ็คเกจเดียวกัน ซึ่งขณะนี้ยังรอคำตอบกลับมาจากสหรัฐฯ ว่าจะกำหนดให้เข้าไปเจรจากันได้เมื่อใด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 มี.ค. 68)


แหล่งที่มา : อินโฟเควสท์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.